ข้อเสนอแนะ ในการปฏิรูปการศึกษา
โดย พารณ
อิศรเสนา ณ อยุธยา ประธานกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
และอนุกรรมการสภาการศึกษาเฉพาะกิจปฏิรูปการศึกษา
การศึกษาในระบบส่วนใหญ่
(Formal Education) เผชิญปัญหาทางด้านหลักสูตร (มาตรฐาน)
การวัดและการประเมินผล และการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ซึ่งไม่สามารถนำไปสู่วัตถุประสงค์ของการปฏิรูปการศึกษา
และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ที่เน้นการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนได้
โดยสามารถสรุปวิเคราะห์ในรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
เปิดโอกาสให้สถานศึกษาดำเนินการพัฒนาหลักสูตรและพัฒนาระบบการศึกษาที่หลากหลายได้
แต่กลับพบอุปสรรคคือ
การจัดหลักสูตรมาตรฐานที่เน้นสาระวิชาและการวัดและประเมินผลที่เน้นการทดสอบเนื้อหาวิชาเป็นสำคัญ
จึงทำให้โรงเรียนที่มีเจตนาจะดำเนินตาม พ.ร.บ. ต้องลดวัตถุประสงค์เชิงคุณภาพ
และกลับมาจัดการเรียนการสอนเพื่อเตรียมตัวนักเรียนแข่งขันกันในการสอบ
นอกจากนี้มาตรฐานการวัดผลดังกล่าวทำให้ผู้ปกครองยึดถือการสอบมากกว่า
การพัฒนาเด็กอย่างเป็นองค์รวม คือ พัฒนาวิธีคิด วิธีเรียนรู้ด้วยตนเอง
และการสร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรมอันหมายถึงการเป็นผู้คิดเป็น
ทำเป็น และสื่อสารเป็น
สังคมไทยจึงไม่สามารถพัฒนาการศึกษาเพื่อไปพัฒนาคนให้มีคุณภาพระดับสากลอย่างแท้จริงได้
2. ปัจจุบันได้มีกลุ่มสถานศึกษาจำนวนหนึ่ง
ที่ได้ดำเนินการจัดการศึกษาตามทิศทางของ พ.ร.บ. อย่างเต็มที่มาเป็นเวลานับ 10 ปี
โดยการจัดการศึกษาที่เน้นกระบวนการเรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ลระดับการศึกษานับตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนถึงระดับอุดมศึกษา
ซึ่งให้ผู้เรียนเข้าถึงเนื้อหาสาระผ่านการฝึกทักษะ การคิด การปฏิบัติจากประสบการณ์จริง
โดยผสมผสานสาระวิชาและการปลูกฝังคุณธรรมได้อย่างสมดุล
ยกตัวอย่างเช่น
การเรียนผ่านกิจกรรม (Live
and Active Learning) และโครงงาน (Project
- Based Learning) การจัดการเรียนกับแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย
(Community-Based
Learning)
นอกจากนี้
ยังได้วัดและประเมินผลผู้เรียนอย่างรอบด้าน โดยเน้นกระบวนการคิด การแก้ปัญหา
และการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความรู้
และปลูกจิตสำนึกด้านคุณธรรม และจริยธรรม
3.
ประสบการณ์ที่สั่งสมมานี้ทำให้กลุ่มสถานศึกษาดังกล่าวเห็นความสำคัญที่จะรวมตัวกันเป็นเครือข่ายชื่อว่า
"เครือข่ายโรงเรียนไทยไท"
และได้ร่วมกันพิจารณาถึงโอกาสการปฏิรูปการศึกษารอบที่สองนี้ว่า
เป็นจังหวะที่เหมาะสมที่จะผลักดันให้การจัดการศึกษาบรรลุเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.
ในประเด็นการยกระดับคุณภาพผู้เรียน (คิดเป็น ทำเป็น สื่อสารเป็น)
โดยเปิดทางเลือกระบบการศึกษาที่หลากหลายและหลุดพ้นจากการวัดและประเมินผลที่มีข้อจำกัด
ข้อเสนอและทางออก
1.
ระบบการจัดการศึกษาที่หลากหลาย
เปิดโอกาสให้โรงเรียนที่มีเจตนาจะส่งเสริมคุณภาพผู้เรียนตาม พ.ร.บ.ปี 2542
ได้พัฒนาหลักสูตร และการจัดกระบวนการเรียนรู้ตลอดจนเกณฑ์การวัด
และประเมินผลอย่างหลากหลายเป็นของตนเอง
โดยไม่ต้องอิงหลักสูตรแกนกลางหรือมาตรฐานตัวชี้วัด
2.
การประเมินผลการจัดการศึกษา ภายใต้หลักสูตรของสถานศึกษาเหล่านี้
ควรร่วมกับสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.)
เพื่อกำหนดแนวทางการประกันคุณภาพที่ได้มาตรฐาน และการรับรองการจบการศึกษาระดับต่างๆ
3.
การสอบเข้าเพื่อศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
เปิดโอกาสให้สถานศึกษาเหล่านี้ทำความตกลงร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ
เพื่อพัฒนาการทดสอบที่หลากหลาย เช่น การใช้ Portfolio การนำเสนอผลงานและการสัมภาษณ์ การตรวจสอบรายงานผลการเรียน (Transcript) ที่เน้นการประเมินผลตามจริง (Authentic Assessment) หรือ โครงการพิเศษอื่นๆ เช่น
"เด็กปัญญาเลิศ" เป็นต้น ทั้งนี้
โดยมีข้อยกเว้นไม่ต้องผ่านการสอบวัดผลรวม (Gpax, GAT/PAT)
4.
การจัดประเภทสถานศึกษาตาม พ.ร.บ. ปี 2542 เพื่อให้กลุ่มการศึกษาทางเลือกใหม่เหล่านี้สามารถดำเนินการตามแนวทางทั้ง
3 ประการข้างต้นได้อย่างถูกต้องตาม
พ.ร.บ.จึงเห็นควรกำหนดให้สถานศึกษาเหล่านี้จัดอยู่ในประเภท
"การศึกษาตามอัธยาศัย" ตามที่ พ.ร.บ.ได้กำหนดไว้ว่า
เป็นการศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ
ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาสโดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อม
สื่อหรือแหล่งความรู้อื่นๆ
หมายเหตุ :
เครือข่ายโรงเรียนไทยไท ประกอบด้วย 1.โรงเรียนรุ่งอรุณ 2.โรงเรียนดรุณสิกขาลัย
3.โรงเรียนสัตยาไส 4.โรงเรียนสยามสามไตร 5.โรงเรียนทอสี 6.โรงเรียนเพลินพัฒนา
7.โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก 8.โรงเรียนวรรณสว่างจิต 9.โรงเรียนอนุบาลบ้านรัก
10.โรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย) 11.โรงเรียนนานาชาติเมธา 12.โรงเรียนปัญญาประทีป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น