บทที่ 5 ข้อมูลพื้นฐานการพัฒนา
กิจกรรม(Activity)
1. สืบค้นจากหนังสือหรือในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เรื่อง พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตร
ตอบ ข้อมูลหรือประองค์ประกอบต่างๆ ที่จำเป็นในการพัฒนาหลักสูตรมีมากมาย เพราะการพัฒนาหลักสูตรเป็นงานที่มีขอบเขตกว้างขวางจึงจำเป็นต้องอาศัยกำลังคนและกำลังสมองจากกลุ่มคนหลายๆ กลุ่ม เช่น นักวิชาการ นักวิจัย นักจิตวิทยา นักสังคมศาสตร์ นักการศึกษา นักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ ผู้บริหารทางการศึกษา นักเรียน ผู้ปกครอง สถานประกอบการ และคนในชุมชน การพัฒนาหลักสูตรที่สมบูรณ์และรอบคอบจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลจากบุคคลเหล่านี้ จึงจะเป็นหลักสูตรพัฒนาที่สามารถตอบสนองความต้องการทางการศึกษา ตอบสนองต่อผู้เรียน และตอบสนองต่อสังคม
ข้อมูลพื้นฐานเป็นข้อมูลในด้านต่างๆ ที่จำเป็นซึ่งนักพัฒนาหลักจะต้องศึกษาวิเคราะห์ และใช้ประกอบการพิจารณาในการสร้างหรือจัดทำหลักสูตรในทุกองค์ประกอบของหลักสูตร อันได้แก่ ข้อมูลทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง การพัฒนาการทางเทคโนโลยี ประวัติศาสตร์การศึกษา หลักสูตรเดิม ข้อมูลจากบุคลากรและจิตวิทยาการศึกษา การศึกษาข้อมูลพื้นฐานเป็นขั้นตอนแรกสุดของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวจะนำไปใช้ในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่กระบวนการกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร กระบวนการกำหนดเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ กระบวนการการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและกระบวนการประเมินผลเพื่อให้ได้หลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและสังคม อีกทั้งเหมาะสมกับลักษณะโครงสร้างของความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ และเป็นหลักสูตรที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศชาติไปในทิศทางที่ต้องการได้
2. ศึกษาทำความเข้าใจเพิ่มเติมจาก สุเทพ อ่วมเจริญ การพัฒนาหลักสูตร : ทฤษฎีและการปฏิบัติ “การพัฒนาหลักสูตร : พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตร”
ตอบ พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านปรัชญา จิตวิทยา สังคม
การพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องอาศัยพื้นฐานในการพัฒนาที่สำคัญ ซึ่งพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็นจริงในการพัฒนาหลักสูตรนั้นต้องประกอบไปด้วยพื้นฐานอย่างน้อย 3 ด้าน คือ พื้นฐานด้านปรัชญา พื้นฐานด้านจิตวิทยา พื้นฐานด้านสังคม ซึ่งในแต่ละพื้นฐานมีความสำคัญดังต่อไปนี้
พื้นฐานด้านปรัชญา
เป้าหมายหลักสูตรเน้นด้านความรู้
กำกับด้วยปรัชญาทางการศึกษา 2 ปรัชญา คือ ปรัชญาสารัตถนิยม (Essentialism) โดยมีความเชื่อว่า ระบบการศึกษาควรเน้นหนักในการศึกษาความรู้และวัตฒนธรรม เป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การอนุรักษ์และถ่ายทอดวัฒนธรรม และ ปรัชญานิรันดรนิยม (Perenialism) ที่มีความเชื่อว่า ระบบการศึกษาควรเน้นการจัดประสบการณ์ให้ได้มาซึ่งความรู้ ความคิดที่เป็นสัจธรรม มีคุณธรรม และมีเหตุผล
เป้าหมายหลักสูตรเน้นด้านผู้เรียน
กำกับด้วยปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) โดยมีความเชื่อว่าการศึกษามีความสำคัญในแง่ของวิธีการที่นำมาใช้ คือ กระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ผู้เรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาในบทเรียน และนำเอากระบวนการแก้ปัญหาไปใช้ในชีวิตประจำวัน
เป้าหมายหลักสูตรเน้นด้านสังคม
กำกับด้วยปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) โดยมีแนวคิดว่า ผู้เรียนมิได้เรียนเพื่อมุ่งพัฒนาตนเองเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเรียนเพื่อนำความรู้ไปพัฒนาสังคมให้สังคมเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ดังนั้นปรัชญาปฏิรูปนิยม จึงมีความเชื่อว่า การศึกษาควรเป็นเครื่องมือของมนุษย์ในการปฏิรูปสังคม
พื้นฐานด้านจิตวิทยา
ในการจัดทำหลักสูตรจำเป็นต้อง ศึกษาข้อมูลพื้นฐานทางจิตวิทยา ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียนว่าผู้เรียนเป็นใคร มีความต้องการและความสนใจอะไร มีพฤติกรรมอย่างไร เป็นต้น ซึ่งข้อมูลดังกล่าวนักพัฒนาหลักสูตรจะนำมาใช้เพื่อกำหนดจุดมุ่งหมายหลักสูตร กำหนดเนื้อหาวิชา และการจัดการเรียนรู้ จิตวิทยาการเรียนรู้จะถูกนำมาใช้เพื่อให้ได้ความรู้ในเรื่องธรรมชาติการเรียนรู้ และปัจจัยทางวิทยาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนวคิดของนักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีการเรียนรู้มี 4 กลุ่ม ใหญ่ๆด้วยกัน ได้แก่ 1) ทฤษฎีการเรียนรู้พฤติกรรมนิยม 2) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม 3) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษย์นิยม 4) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มสร้างสรรค์นิยม
พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านจิตวิทยา นอกจากข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการเรียนรู้แล้ว ในการพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องมีข้อมูลเกี่ยวข้องกับพื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านผู้เรียน ซึ่งมีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
โดนัล คลาก (Donald Clark, 2004:1) กล่าวว่าขั้นตอนวิเคราะห์ ข้อมูลประชากรกลุ่มเป้าหมายมีความจำเป็นและมีประโยชน์มาก เมื่อต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการเสนอโปรแกรมการเรียนการสอน ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลต่างๆ ดังนี้
· จำนวนผู้เรียน
· ที่ตั้งของโรงเรียน
· การศึกษาและประสบการณ์ของผู้เรียน
· ภูมิหลังของผู้เรียน
· แรงจูงใจของผู้เรียน
· ระดับความสามารถในการปฎิบัติงานที่ต้องการ กับระดับทักษะในปัจจุบัน
· ความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรมของผู้เรียน สิ่งเร้าของผู้เรียน
· ลักษณะทางกานภาพหรือความสามารถทางสติปัญญาของผู้เรียน
· ความสนใจพิเศษหรืออคติของผู้เรียน
พื้นฐานด้านสังคม
ข้อมูลพื้นฐานด้านสังคมที่สำคัญที่ควรศึกษาวิเคราะห์เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร คือ ข้อมูลที่เกี่ยวกับสภาพสังคม แนวคิดของพัฒนาการทางสังคม 4 ยุค คือ ยุคเกษตรกรรม ยุคอุตสาหกรรม ยุคสังคมข่าวสารข้อมูล ยุคข้อมูลฐานความรู้ และยุคปัญญาประดิษฐ์ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการจัดทำหลักสูตรว่าจะมีแนวปฎิบัติในการจัดทำหลักสูตรหรือพัฒนาหลักสูตรอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับผู้เรียนในยุคสมัยต่างๆ ประการสำคัญในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านสังคมมุ่งการสร้างเครือข่ายหรือความร่วมมือของชุมชน ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการจัดทำหลักสูตร การกำหนดวิชาเรียนต่างๆ เพราะบางราบวิชาสภาพชุมชนไม่ส่งเสริมเท่าที่ควร ก็อาจเป็นอุปสรรคในการจัดการศึกษา ข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียน ชุมชนและสังคมที่โรงเรียนต่างๆ สามารถนำไปใช้ในการบริหารและจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา: สุเทพ อ่วมเจริญ. (2557). การพัฒนาหลักสูตร: ทฤษฎีและการปฏิบัติ. นครปฐม: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร.
3. แลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพื่อนนักศึกษา หรือผู้รู้ เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาของประเทศไทย ได้รับอิทธิพลหรือมีปัจจัยสำคัญใด
ตอบ การศึกษาในประเทศไทย เป็นการศึกษาที่จัดโดยกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทย โดยภาครัฐจะเข้ามาดูแลโดยตรงและเปิดโอกาสให้เอกชนมีส่วนร่วมในการศึกษาตั้งแต่ระดับการศึกษาปฐมวัยจนถึงระดับอุดมศึกษา สำหรับการศึกษาภาคบังคับในประเทศไทยนั้นได้กำหนดให้พลเมืองไทยต้องจบการศึกษาอย่างน้อยที่สุดในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น[4] และต้องเข้ารับการศึกษาอย่างช้าสุดเมื่ออายุ 7 ปี[5] ซึ่งการศึกษาภาคบังคับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งแบ่งออกเป็นระดับชั้นประถมศึกษา 6 ปีและมัธยมศึกษา 6 ปี นอกจากนี้แล้วการศึกษาขั้นพื้นฐานยังรวมถึงการศึกษาปฐมวัยอีกด้วย[6] ทั้งนี้รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550[7] ส่วนการบริหารและการควบคุมการศึกษาในระดับอุดมศึกษาจะดำเนินการโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของกระทรวงศึกษาธิการ ในปัจจุบันการศึกษาในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 3 รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
อย่างไรก็ตามการจัดการศึกษาของประเทศไทยนั้นถูกมองว่าล้าหลังและล้มเหลวเสมอมา[8] กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 ว่า เด็กไทยมีระดับเชาวน์ปัญญา 98.59 ซึ่งต่ำกว่าค่ามัธยฐานของเชาวน์ปัญญาทั้งโลกที่ระดับ 100 โดยเด็กไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสติปัญญาน้อยที่สุด สูงขึ้นมาจึงเป็นภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคกลางตามลำดับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น